เมย์ บัณฑิตา เปิดใจหลังคนเมาท์โดนปลดนางเอก เพราะศัลยกรรมจนเกินงาม ต้องมาเล่นบทนางร้ายแทน

คอมเมนต์:

ฝีมือการแสดงของเธอสุดยอดมาก โดยเฉพาะเรื่อง ช่าช่าช่า ท้ารัก ปังมากค่ะ ตอนนั้นเป็นตำนานจริง ๆ#เมย์บัณฑิตา #มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง #อาสาศิลปินมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง #ข่าวบันเทิง

หมายเหตุ : สามารถรับชมคลิปเต็มได้ที่ด้านล่างบทความค่ะ

    เรียกได้ว่าอยู่ในวงการบันเทิงมานานกว่า 20 ปี แล้ว สำหรับนักแสดงสาวอย่าง "เมย์ บัณฑิตา" ที่ล่าสุดได้มาเปิดใจผ่านรายการ คุยแซ่บโชว์ เคลียร์ทุกข้อข้องใจหลังตกเป็นข่าวเมาท์ว่า ทำศัลยกรรมมากเกินไป จนถูกปลดจากบทนางเอกจริงหรือไม่ ?

    โดยเมย์ บัณฑิตา เปิดใจว่า แอยู่ในวงการมาเกือบ 19-20 ปีแล้ว มันแป๊บ ๆ มากเลยนะ ปี 64 นี้ก็ครบ 20 ปีพอดี ตอนนั้นเข้าวงการแรก ๆ ก็มาแบบงง ๆ ตอนนั้นเข้ามาเรียน มศว ได้ประมาณครึ่งปี แล้วก็เจอแมวมองอยู่หน้าห้องน้ำ ตอนนั้นก็ไม่กล้าคุย เพราะแม่บอกว่ากรุงเทพฯ มีแต่คนน่ากลัว แต่เราก็ให้เบอร์โทรศัพท์แบบงง ๆ สุดท้ายไม่โดนหลอก เขาเป็นตัวจริง และตอนนั้นเขาเป็นผู้จัดการของ ยุ้ย จีรนันท์ ด้วย เขาก็ให้ไปแคสต์โฆษณา แคสต์หนัง 

 

Sponsored Ad

 

    ซึ่งหนังเรื่องแรกในชีวิตก็ได้เป็นนางเอกเลย ความรู้สึกเราตอนนั้นไม่น่าใช่ความสามารถ น่าจะเป็นโชคช่วยมากกว่า

    ด้านพิธีกรถามว่า ไปเป็นนางเอกช่องมากสีได้ยังไง? เมย์เผยว่า "ตอนนั้นถ่ายหนังอยู่ประมาณ 3-4 เดือน ก็มีแคสต์นักแสดง ตอนนั้นหนังยังไม่ออนเลยนะ ก็ไปแคสต์ละคร ไปถ่ายรูป แนะนำตัวแค่นั้น อีกอาทิตย์ช่องเรียกไปเซ็นสัญญา ช่องมากสี พอวันที่เซ็นสัญญาก็ถามคุณแดงว่า จะต้องไปเรียนการแสดงไหม เพราะว่าหนังก็อีกแบบหนึ่ง ละครก็อีกแบบหนึ่ง คุณแดงบอกไม่เป็นไร ไปถ่ายเลย"

 

Sponsored Ad

 

    ละครเรื่องแรกชื่อเรื่องขุมทรัพย์แม่น้ำแคว สมัยเข้าวงการใหม่ ๆ พ่อแม่สั่งไว้ว่า ไม่ว่าจะดังขนาดไหนก็ห้ามทิ้งการเรียน เพราะเมย์มาจากครอบครัวที่คุณพ่อคุณแม่เป็นอาจารย์ ทุกอย่างอยู่ในกรอบหมดเลย แล้วเรารู้สึกว่าถ้าลูกสาวอาจารย์ไม่ประสบความสำเร็จเรื่องเรียน แล้วพ่อแม่จะไปสอนใครได้ ก็เป็นความกดดันอย่างหนึ่ง

 

Sponsored Ad

 

    ส่วนละครที่ดังมาก ๆ พลิกชีวิตเลยก็คือ ชะชะช่า ท้ารัก ดีใจมาก เป็นละครเพลงอีกหนึ่งเรื่องที่เรางง ๆ กับตัวเองเหมือนกันที่อยู่ ๆ ได้ลงละครเพลง เพราะเราไม่ได้เป็นคนที่ร้องได้เต้นได้ตั้งแต่แรก เป็นคนดูการ์ตูนตั้งแต่เด็ก ไม่เคยร้องเพลง ไม่เคยเต้น ตอนนั้นก็มีฝึก ถามว่าทำได้ดีไหม ก็ถ้าย้อนกลับไปก็ทำได้ดีกว่า

    ชีวิตช่วงนั้นทำงานหนักมากสัปดาห์หนึ่งถ่ายละคร 3 เรื่อง แล้วเป็น 3 เรื่องที่อยู่เต็ม ๆ เช้ายันเย็น เพราะเป็นนางเอก ตอนนั้นเหนื่อยมาก เพราะขับรถเองด้วย เรารู้สึกว่าถ้าเราจ้างคนขับรถมาเขาต้องไม่ได้กลับบ้านแน่เลย สงสารเขา

 

Sponsored Ad

 

    เมย์ยังเผยอีกว่า เคยมีครั้งหนึ่ง ในช่วงที่เรากำลังดัง ๆ อยู่ เราเดินไปบอกผู้บริหารว่า ไม่เอาแล้ว จะลาออก คือเรามีความฝันตั้งแต่เด็ก เรารู้สึกว่าเราอยากไปเรียนเมืองนอก อยากไปใช้ชีวิต เสร็จปุ๊บเรารู้สึกว่า การมาทำงานในวงการบันเทิงมันอาจจะไม่ใช่ที่ของเรา 

    ซึ่งถ้าถามว่า เราทำได้ไหม เราทำได้ ตอนนั้นละครถ่ายอยู่ปีละ 4-5 เรื่อง เราก็ไปบอกผู้บริหารว่าขออนุญาตไปเรียนต่อ เขาก็บอกว่าไม่ต้องไปหรอก อยู่นี่แหละ ทำงานก่อน แล้วหลังจากนั้นละครมาเยอะมาก เห็นแก่เงินก็อยู่ต่อไป แต่ก็ยังค้างคาใจอยู่ว่าอยากไปใช้ชีวิตเมืองนอก แพลนไว้ว่าจะเล่นละครแค่ 4 ปี จริง ๆ ไม่ได้คิดว่าจะได้เล่นด้วย อยากจะอยู่แค่ 4 ปี เรียนจบแล้วเอาเงินที่เล่นละครไปต่อโท แล้วกลับมาทำงานแบบคนปกติเขาทำ 

 

Sponsored Ad

 

    เมื่อพิธีกรถามว่าจากที่ได้รับบทนางเอกตลอด ต้องเปลี่ยนมาเล่นเป็นนางร้ายครั้งแรกคิดมากไหม? เมย์ตอบว่า "คิดมาก แล้วรู้เลยว่าครั้งแรกเราทำไม่ดี ไม่เต็มที่ แต่เรื่องต่อไปคือนางทาส เราเล่นเป็นบุญมี"

    ซึ่งหลังจากนั้นก็มีคนเมาท์ว่าช่วงหนึ่งเราไปทำศัลยกรรมหรือเปล่า ทำให้ต้องเปลี่ยนจากบทนางเอกไปเป็นนางร้าย เกี่ยวกับเรื่องนี้เจ้าตัวขอปฏิเสธเลยว่า "ไม่จริง!" อันนี้ขอเถียงเลย ทุกคนรู้ แฟนคลับรู้ แต่แม่ไม่รู้ จริง ๆ เรื่องความสวยความงามชอบตั้งแต่ตอนเป็นนางเอกแล้ว คนก็มาเขียนนู่นนี่นั่นเยอะ แต่จริง ๆ ณ วันนั้นทำแค่อย่างเดียว คือทำคางและเอาออกแล้ว

 

Sponsored Ad

 

    หลังจากวันนั้น โมหน้าทำอะไรบ้าง? เมย์ตอบว่า ก็ทั่วไป ตอนนี้ที่มีก็ทำจมูก แต่ทุกคนชอบมาเถียงเมย์ตลอด ชอบบอกว่าเมย์ทำตา แต่จริง ๆ เมย์ไม่ได้ทำ เรารู้สึกว่าการไปทำสวยมันไม่ได้เสียหาย ถ้าคุณมีลิมิตในการทำ ถ้าคุณทำแล้วคิดว่าเหมาะสม โดยเฉพาะอาชีพที่มันใช้หน้าตา

    เราไม่ได้เสพติดศัลยกรรม ทุกวันนี้ก็ ทรีตเมนต์ นวดหน้า เลเซอร์ อันนี้ทำประจำ แต่ถ้าไม่ได้ทำงานตรงนี้ เมย์จะไม่ทำเลย เพราะว่าขี้เกียจมาก เพราะมันเสียเวลา เสียเงิน

Sponsored Ad

     ส่วนตัวชอบเข้าวัดทำบุญ ชอบไปคุยกับหลวงพ่อ ด้วยความที่เราอยู่กรุงเทพฯ แล้วเราอยู่ตัวคนเดียว พ่อแม่เราไม่ได้อยู่ด้วย เราก็อยากมีใครที่มาเตือนสติเรา เวลาเรามีปัญหา มีความคิดอะไรอยู่ในใจ เราก็อยากให้หลวงพี่ช่วยเตือน

    2 ปีก่อน ย้ายไปอยู่ต่างประเทศ ไปค้นหาตัวเองที่อังกฤษ ด้วยความที่ทำงานเจอผู้คนเยอะมาก แล้วเมย์ก็รู้สึกว่าการอยู่ในสังคม ทุกคนชอบคาดหวังให้เราทำอย่างนู้นอย่างนี้ แล้วก็ทำนู่นนี่นั่นให้เราตลอดเวลา แล้วเราไม่รู้ว่าปกติเราชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เราเป็นคนยังไง เพราะว่าทุกคนมาบอกเราตลอด จำได้เลยวันนั้นต้นเดือน วางแผนเลยว่าไม่อยู่แล้ว ซื้อตั๋วแล้วไปปลายเดือนนั้นเลย ทิ้งบ้าน ไปคนเดียวกับกระเป๋าลากใบหนึ่ง

 

    ที่ไปอยู่ 6 เดือน ก็มีอ่านหนังสือ ลงเรียนภาษาบ้าง เดินดูศิลปะ แล้วไปช่วยงาน เป็นเด็กโบสถ์ที่นู่นก็มี เงินค่าใช้จ่ายมาจากเงินเก็บล้วนๆ ชีวิตที่อยู่ที่นู่นมีความสุขมาก ไม่อยากกลับมาเลย ถ้าเป็นไปได้อยากอยู่ยาว ๆ

    หลังจาก 6 เดือนเราก็กลับมาเมืองไทย  เพราะเพื่อนแต่งงานพอดี ตอนนั้น ต๊ะ แอน แต่งงาน เราสัญญาว่าเราจะมางานแต่งงานของเขา เพราะเป็นเพื่อนสนิทกัน ก็เลยกลับมา แล้วกลับมาเป็นจังหวะละคร ก่อนตะวันแลง เขาดีลเรามาพอดี เราอ่านบทแล้วแบบโอเค พี่ ๆ นักแสดง มันเป็นส่วนผสมที่เคมีลงตัว น่าสนใจ เราก็กลับมา

    พร้อมเล่าเรื่องความรักในอดีต เมื่อก่อนก็เป็นความรักแบบลาเวนเดอร์กับม้าโพนี่ สวยงามมาก แม่เราก็จะพูดเสมอว่าเวลาเรามีความรักหรือมีแฟน เราจะต้องดูที่เขาเป็นคนดี แล้วเราก็ต้องเป็นคนเข้าอกเข้าใจ ยิ้มรับอะไรอย่างนี้จะได้อยู่กันยาว ๆ ทีนี้เขาไปเที่ยวเลานจ์ มีผู้หญิง ก็ไม่เป็นไร เราเข้าใจ เพราะว่าเราจะรักกันที่ใจ แต่มันมีเรื่องผู้หญิงบ่อยมาก แต่เรารู้สึกว่าไม่เป็นไรหรอก เรารู้สึกว่าเราคิดไปเอง เราต้องเข้าใจ จนกระทั่งวันหนึ่งเราจับได้ เราก็ให้อภัย 3 ครั้ง

    มีครั้งหนึ่งเพื่อนเราเคยแย่งคนรักของเราไป ตอนนั้นคบนานประมาณ 4 ปี ก็เป็นคนที่ไปเที่ยวนี่แหละ จนมีวันหนึ่งเกิดไม่ไว้ใจ ก็เปิดดู เอ๊ะ คุ้น ๆ หน้าเพื่อนบ้านเขา หน้าเพื่อนอยู่ในบ้านเขา เราก็ถามเขานะ ถ้าเขายอมรับเราก็ให้อภัย แต่เขาไม่ยอมรับ เราก็เลยรู้สึกว่าต้องจบแล้ว เสียเวลา

 

    แล้วหลังจากนั้นคนก็เข้ามาจีบ แต่เรารู้สึกว่าด้วยสังคมที่นี่ วัฒนธรรม ค่านิยม รู้สึกว่าการจีบซ้ำซ้อน การคบซ้ำซ้อน มันเป็นเรื่องปกติหรือเปล่า แล้วเราก็จับได้บ่อยมาก บางทีไปเดินสยามมากับผู้หญิง แล้วเขาก็เห็นเราพอดี

    เพราะเจอคนแบบนี้บ่อย ๆ หรือเปล่า เลยทำให้ไม่อยากแต่งงาน? เมย์ก็ตอบว่า เธอไม่อยากแต่งงาน เพราะคุณแม่ชอบบอกว่า ถ้าเมย์แต่งงานแล้วจะต้องมีความอดทนนะลูก หนักนิดเบาหน่อยก็ต้องให้อภัย แล้วต้องมีความเข้าใจ อยากจะบอกแม่ว่าบางอย่างยุคนี้จะเข้าใจตลอดไม่ได้ มันจะต้องมีการตัดจบเหมือนกัน ความอดทนมันจะต้องมีขอบเขต ทุกวันนี้ไม่กล้าแต่งงาน เพราะกลัวว่าถ้าแต่งงานแล้วต้องอดทน

    แล้วคนไหนที่บอกว่าคุยกันมา 3 วันแล้วเลิก?
    เมย์ : ก็มีเหมือนกัน เป็นคนที่เทเก่งมากไม่เข้าใจเหมือนกัน คือเราจะเป็นคนแฟร์กับผู้ชายที่เข้ามาคุยกับเรา คือเราเป็นคนโอเพ่นนะ เราสามารถที่จะคุยได้ แต่ถ้าไม่ใช่ ต้องหยุด อย่ามางอแง มันไม่ใช่คือไม่ใช่ โตแล้ว อย่าโตแต่อายุ ซึ่งตอนนี้สาวเมย์ก็เผยสถานะความรักตอนนี้ว่า "มีคนคุย" อยู่จ้า

    นอกจากนี้แล้วหลายคนอาจไม่เคยเห็นชีวิตอีกด้านหนึ่งของเธอ ซึ่งเธอคือสาวเมย์ ได้เป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยของมูลนิธิ "ป่อเต๊กติ๊ง" ช่วยเหลือคนเจ็บจากอุบัติเหตุ แบกคนเจ็บ แบกโลง หรืออำนวยความสะดวกในงานสำคัญต่างๆ มาแล้ว 

        

        โดยถึงขนาดไปอบรมหลักสูตร เวชกิจฉุกเฉิน (First Responder) ซึ่งเป็นหลักสูตรสำหรับเจ้าหน้าที่และอาสาสมัคร (อาสากู้ชีพ) จนได้รับประกาศนียบัตรการช่วยเหลือคนเลยทีเดียว

        

        เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งคนในวงการบันเทิงที่อุทิศตนเพื่อสังคมมาโดยตลอดเลยก็ว่าได้ ซึ่งเธอก็มักจะโพสต์อัปเดตรูปภาพ ทั้งการทำงานในวงการบันเทิง การปฏิบัติหน้าที่จิตอาสา และชีวิตประจำวันของเธอลงในอินตราแกรม maybuntitaให้แฟนคลับได้ติดตามกันอีกด้วย

ชมคลิป เปิดใจเมย์ บัณฑิตา

คลิปเปิดไม่ออก >>> กดตรงนี้ คลิ๊ก !!!! <<<

ที่มา : คุยแซ่บShow, Instagram/maybuntita

บทความแนะนำ More +

บทความที่คุณอาจสนใจ