เมื่อช่วงกันยายนที่ผ่านมา ผู้โดยสารเดินทางมาจากประเทศจีน มายังสนามบินซานฟรานซิสโก สหรัฐฯ พร้อมลูกสุนัข พันธุ์เยอรมันเชพเพิร์ดผสม วัยเพียง 12 สัปดาห์ อย่างไรก็ตามกฎของศูนย์ควบคุมโรคไม่อนุญาตให้นำสัตว์ที่มาจากประเทศเสี่ยงต่อโรคพิษสุนัขบ้าเข้าสู่สหรัฐฯและผู้โดยสารรายนี้ก็ไม่มีเอกสารที่ถูกต้อง

    อย่างไรก็ตามผู้โดยสารรายนี้ก็ตัดสินใจเดินทางต่อไปรัฐอื่นเพียงคนเดียว โดยทิ้งน้องหมาเอาไว้ให้สายการบินยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส เป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของลูกสุนัขตัวนี้

    โดยศูนย์ควบคุมโรค ได้เสนอแนวทางให้กับยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส ว่าให้ส่งสุนัขตัวนี้กลับไปที่ต้นทาง นั่นก็คือประเทศจีน แต่ก็เสี่ยงที่สุนัขจะถูกกำจัดเมื่อถึงปลายทาง หรือทางเลือกที่สองคือปล่อยสุนัขไว้ที่สนามบินแห่งนี้ 

    แต่อย่างไรก็ตาม ทางสายการบินตัดสินใจที่ต่างออกไป คือประสานให้สุนัขได้ไปกักตัวอยู่ที่สนามบินลอสแอนเจลิส และพยายามช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถเพื่อให้สุนัขสามารถอยู่ในสหรัฐฯ ต่อได้ พร้อมตั้งชื่อให้สุนัขตัวนี้ว่า โพลาริส (Polaris) ตามชื่อชั้นธุรกิจของสายการบิน

    ซึ่ง "โพลาริส" ต้องเข้ากระบวนการกักตัว 3 เดือน หลังจากครบตามกำหนด ผ่านเกณฑ์ต่าง ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการหาเจ้าของใหม่

    โพลาริส ถูกปล่อยจากโซนกักตัวที่แอลเอ กลับมาที่ซานฟรานซิสโก เพื่อให้ ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส และสถานสงเคราะห์สัตว์ SF SPCA ประกาศหาเจ้าของใหม่ต่อไป โดยเน้นเป็นสมาชิกในองค์กรที่คุ้นเคยและผูกพันกับเจ้าโพลาริส ซึ่งมีคนอาสาเป็นเจ้าของใหม่กว่า 30 ราย

    ในที่สุดเจ้าหน้าที่ได้คัดเลือกเจ้าของใหม่ที่เหมาะสมกับโพลาริสได้แล้ว ซึ่งเขานั้นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล แต่เป็น กัปตันวิลเลียม เดล กัปตันของสายการบิน ยูไนเต็ด แอร์ไลน์ส นั่นเอง

    ด้านกัปตันเดล เปิดใจว่า โพลาริส เป็นสุนัขตัวแรกของครอบครัวเลยก็ว่าได้ และที่เขาตัดสินใจรับเลี้ยงมันทั้งที่ไม่เคยเลี้ยงสุนัขมาก่อนก็เพราะเรื่องราวของมันน่าทึ่งมาก ๆ และเขาเองก็ไม่คิดว่าตนเองจะถูกรับเลือกให้เป็นเจ้าของโพลาริส

ที่มา : Washington Post, Dailymail